all ears - พร้อมที่จะฟัง
Please tell me your problem. I'm all ears.
beat around the bush - พูดอ้อมค้อมวกวน
Stop beating around the bush. Tell me what happened to my car.
clear the air - ขจัดความเข้าใจผิดหรือความโกรธ
A: Are you and your wife still angry at each other?
B: No. We cleared the air.
down in the dumps - รู้สึกท้อถอย / ท้อแท้
Jonathan is down in the dumps because he lost his job.
eager beaver - ขยันเป็นพิเศษ
The teacher likes Gabrielle because she is an eager beaver.
fly off the handle - โมโห
My boyfriend flew off the handle when I forgot his birthday.
get on one's nerves - สร้างความรำคาญ
Your singing gets on my nerves.
hit the books - เรียนให้มากๆ
A: I want to study at Chulalongkorn University.
B: Well, you need to hit the books every night.
in line for - กำลังจะได้รับ
I am in line for a promotion.
jump the gun - เริ่มทำอะไรก่อนเวลาอันควร
A: Do you think I should ask my girlfriend to marry me?
B: No way! that would be jumping the gun.
kick oneself - ตำหนิตนเองที่ทำผิด
I am kicking myself for not buying a lottery ticket this week. My favorite number won!
live from hand to mouth - มีเงินพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
The construction workers live from hand to mouth.
ขอขอบคุณข้อมูลโดยคุณ Gabrielle
สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://gabrielle.exteen.com/20071027/idiom
วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
Linking Verb
Linking Verb
คือ กริยารูปแบบหนึ่งในภาษาอังกฤษที่ทำหน้าที่ Link
หรือว่าเชื่อมคำนามหรือประธานของประโยคที่อยู่ด้านหน้าเพื่อบอก
หรือขยายประธานที่อยู่ด้านหน้า ตัวอย่างของ Linking verbs ได้แก่
appear be become feel get go grow look
prove remain seem smell sound stay taste turn
Exampleหรือตามด้วย Noun เช่น
Mary seemed sad. (ถูกต้องเพราะ Linking verb "seemed" ตามด้วยคำ Adj. คือ sad)
Mary seemed sadly. (ไม่ถูกต้องเพราะ Linking verb "seemed" ตามด้วยคำ Adv. คือ sadly)
ExampleNote
She is a girl. (girl เป็น Noun)
She is beautiful. (beautiful เป็น Adjective)
คำกริยาด้านบนไม่ได้มีความหมายเป็น Linking verb เสมอไป จะต้องดูรูปประโยคประกอบด้วย เช่น
Example
Sally grew angry. (ประโยคนี้ grew เป็น Linking verb เพราะหมายถึง กลายมาเป็น และตามด้วย Adj.)
The plant grew quickly. (สำหรับประโยคนี้ grew เป็นกริยาหลักของประโยค โดยสังเกตคำที่ตามหลังจะเป็น Adv ที่มาขยายกริยาหลัก คือ เติบโตอย่างรวดเร็ว)
สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.learningselection.com/linking_verb.html
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
โครงสร้างประโยคคำถามภาษาอังกฤษ
1. Yes – No Questions
โครงสร้างประโยคคำถามของThe Simple Present Tense ก็ใช้ do และ does มาช่วยกริยาแท้ของประโยค โดยวางไว้หน้าประธาน ดังโครงสร้างต่อไปนี้
Do + ประธานพหูพจน์ + infinitive + ……………?
Does + ประธานเอกพจน์ + infinitive + ……………?
2. Wh - Questions ประโยคคำถามประเภทนี้จะขึ้นต้นประโยคด้วยคำแสดงคำถาม (Question Words) เช่น what when where how เป็นต้น การเรียงคำในประโยคคำถามประเภทนี้ประกอบด้วย Question Word + do + ประธานพหูพจน์ + infinitive + ……………? Question Word + does + ประธานเอกพจน์ + infinitive + ……………?
สามารถศึกษาตัวอย่างประโยคคำถาม ได้ที่ http://gpa.tmk.ac.th/exe/ex/_interrogative.html
2. Wh - Questions ประโยคคำถามประเภทนี้จะขึ้นต้นประโยคด้วยคำแสดงคำถาม (Question Words) เช่น what when where how เป็นต้น การเรียงคำในประโยคคำถามประเภทนี้ประกอบด้วย Question Word + do + ประธานพหูพจน์ + infinitive + ……………? Question Word + does + ประธานเอกพจน์ + infinitive + ……………?
สามารถศึกษาตัวอย่างประโยคคำถาม ได้ที่ http://gpa.tmk.ac.th/exe/ex/_interrogative.html
หลักการใช้ Tenes ต่างๆในภาษาอังกฤษ
---------หลักการใช้ Present Simple Tense-------------
1.ใช้พูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หรือ เกิดขึ้นเป็นประจำซ้ำไปซ้ำมา
2.ใช้กับการกระทำที่ ทำจนเป็นอุปนิสัย หรือ ใช้เพื่อแสดงความถี่ของการกระทำต่างๆ โดยเรามักใช้กับ คำกริยาวิเศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency) มาช่วยในการแสดงความถี่ของการกระทำ 3.ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เป็นความจริงตลอดไป (fact) หรือ เป็นกฎทางธรรมชาติ (natural law) โดยไม่จำเป็นว่าการกระทำนั้นๆ กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดหรือไม่
4.ใช้เมื่อต้องการพูดถึง ตารางเวลา (Schedule) หรือ แผนการ (Plan) ที่ได้วางไว้
5.ใช้ในการ แนะนำ บอกแนวทาง หรือ สอน
วิธีการสร้างประโยค Present Simple Tense
สามารถศึกษาหลักการใช้ Tense อื่นๆ ได้ที่ http://www.dek-eng.com/
1.ใช้พูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หรือ เกิดขึ้นเป็นประจำซ้ำไปซ้ำมา
2.ใช้กับการกระทำที่ ทำจนเป็นอุปนิสัย หรือ ใช้เพื่อแสดงความถี่ของการกระทำต่างๆ โดยเรามักใช้กับ คำกริยาวิเศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency) มาช่วยในการแสดงความถี่ของการกระทำ 3.ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เป็นความจริงตลอดไป (fact) หรือ เป็นกฎทางธรรมชาติ (natural law) โดยไม่จำเป็นว่าการกระทำนั้นๆ กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดหรือไม่
4.ใช้เมื่อต้องการพูดถึง ตารางเวลา (Schedule) หรือ แผนการ (Plan) ที่ได้วางไว้
5.ใช้ในการ แนะนำ บอกแนวทาง หรือ สอน
วิธีการสร้างประโยค Present Simple Tense
โครงสร้าง
|
Subject + Verb1
| |||||||||
ประโยคบอกเล่า
|
I / You / We / They
|
eat
|
seafood.
| |||||||
He / She / It
|
knows
|
about you.
| ||||||||
โครงสร้าง
|
Subject + do/does + not + Verb1
| |||||||||
ประโยคปฏิเสธ
|
I / You / We / They
|
do
|
not
|
eat
|
seafood.
| |||||
He / She / It
|
does
|
not
|
know
|
about you.
| ||||||
โครงสร้าง
|
Do/Does + Subject + Verb1?
| |||||||||
ประโยคคำถาม
|
Do
|
I / you / we / they
|
eat
|
seafood?
| ||||||
Does
|
he / she / it
|
know
|
about you?
| |||||||
โครงสร้าง
|
Who/What/Where/When/Why/How + do/does + Subject +Verb1?
| |||||||||
ประโยคคำถาม
Wh- |
Why
|
do
|
I / you / we / they
|
eat
|
seafood?
| |||||
What
|
does
|
he / she / it
|
know
|
about you?
|
*คำปฏิเสธรูปย่อของ do/does not คือ don’t และ doesn’t
---------หลักการใช้ Past Simple Tense------------
-
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เกิดขึ้นในอดีตและสิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งมักจะมีคำหรือวลีที่บ่งบอกถึงเวลาในอดีตในประโยคเสมอ เช่น yesterday, last…, … ago, once, this morning, when I was… และอื่นๆ เช่น
I met a beautiful girl last night. (ฉันเจอผู้หญิงสวยคนหนึ่งเมื่อคืนนี้)
-
ใช้แสดงถึงการกระทำที่เป็นนิสัยหรือเกิดขึ้นเป็นประจำในอดีต ซึ่งสิ้นสุดลงแล้ว โดยมักมี Adverbs of Frequency (กริยาวิเศษณ์แสดงความถี่) อยู่ในประโยคด้วย เช่น often, always, sometimes และอื่นๆ ซึ่งมักจะมี Adverb of Time (กริยาวิเศษณ์แสดงเวลา) ระบุถึงเวลาในอดีตด้วย เช่น last month, last year และอื่นๆ เช่น
I cooked every night last month. (ฉันทำอาหารทุกคืนเมื่อเดือนที่แล้ว)He always cried when he was young. (เขาร้องไห้เป็นประจำ ตอนเขายังเด็ก)
-
เราสามารถใช้ "used to + Verb 1" เพื่อให้ความหมายว่า "เคย" เพื่อแสดงถึงการกระทำในอดีตได้ เช่น
I used to eat a lot. (ฉันเคยกินเยอะมาก่อน)He used to be naughty. (เขาเคยเป็นคนเกเรมาก่อน)
วิธีการสร้างประโยค Past Simple Tense
โครงสร้าง
|
Subject + Verb2
| ||||||||||
ประโยคบอกเล่า
|
I / You / We / They | went | to the museum. | ||||||||
He / She / It | took | a bus to the school. | |||||||||
โครงสร้าง
|
Subject + did + not + Verb1
| ||||||||||
ประโยคปฏิเสธ
|
I / You / We / They | did | not | go | to the museum. | ||||||
He / She / It | did | not | take | a bus to the school. | |||||||
โครงสร้าง
|
Did + Subject + Verb1?
| ||||||||||
ประโยคคำถาม
|
Did | I / you / we / they | go | to the museum.? | |||||||
Did | he / she / it | take | a bus to the school? | ||||||||
โครงสร้าง
|
Who/What/Where/When/Why/How + did + Subject +Verb1?
| ||||||||||
ประโยคคำถาม
Wh- |
Where
|
did | I / you / we / they | go? | |||||||
How
|
did | he / she / it | go | to the school? |
*เราใช้ “did” เข้ามาช่วยในการสร้างประโยคคำถามหรือปฏิเสธ โดยกริยาแท้นั้นจะต้องอยู่ในรูปกริยาช่องที่ 1 เท่านั้น
*คำปฏิเสธรูปย่อของ did not คือ didn’t
*คำปฏิเสธรูปย่อของ did not คือ didn’t
สามารถศึกษาหลักการใช้ Tense อื่นๆ ได้ที่ http://www.dek-eng.com/
ชนิดคำในภาษาอังกฤษ
ประโยค คือส่วนที่สำคัญที่สุดในโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
เพราะในชีวิตประจำวัน เรามักพูดออกมาเป็นประโยค
เพื่อสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ แต่ประโยคนั้นประกอบขึ้นด้วยคำต่างๆ
ดังนั้นถ้าเราจะเริ่มศึกษาวิธีการแต่งประโยค
เราจึงต้องเริ่มต้นศึกษาจากคำก่อน
Words
ชนิดของคำในภาษาอังกฤษมี 8 ชนิดด้วยกัน คือ
1. Nouns (คำนาม)
เช่น God, man, John, American, friend, star, stone, air, mile, beauty ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ แนวคิด นามธรรม และความเชื่อ
2. Pronouns (คำสรรพนาม)
เช่น I, you, he, she, my, your, his, that, who, what, which, one, some ใช้เรียกแทนคำนาม จะได้ไม่ต้องเอ่ยนามนั้นซ้ำอีก
ตัวอย่าง:
3. Adjectives (คำคุณศัพท์)
ใช้ขยาย noun กับ pronoun เพื่อบรรยายให้เห็นลักษณะของ noun กับ pronoun ชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งออกเป็น adjective สำหรับบอกลักษณะ บอกปริมาณ และบอกจำนวน
- Qualifier Adjectives หรือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกลักษณะ เช่น beautiful, healthy, kind, poor, fast, dry, black
ตัวอย่าง:
- Quantifier Adjectives หรือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกปริมาณ
เช่น many, much, few, little
ตัวอย่าง:
- Numeral Adjectives หรือคำคุณศัพท์ใช้บอกจำนวนนับลำดับที่
เช่น one, two, three, first, second
ตัวอย่าง:
4. Verbs (คำกริยา)
เช่น go, take, fight, speak, sleep, wait ใช้แสดงกริยาอาการต่างๆ เป็นส่วนสำคัญในภาคแสดงของประโยค นอกจากนี้ คำกริยายังแบ่งได้เป็น กริยาแท้ และกริยาไม่แท้
- Finite Verbs กริยาแท้หรือคำกริยาที่สามารถผันตามประธานและรูปกาลได้
- Non-finite Verbs (Verbals) กริยาไม่แท้ ไม่สามารถเปลี่ยนรูปได้
ตัวอย่าง: verb "be" มีกริยาในรูปต่างๆ ดังนี้
5. Adverbs (คำวิเศษณ์)
เช่น well, fast, long, gently, recently, again, yesterday, soon, rather, perhaps, not
ใช้ขยาย verb, adverb, adjective, preposition, conjunction, phrase, sentence เพื่อเพิ่มความหมายให้กับสิ่งที่ถูกขยาย
ตัวอย่าง:
6. Prepositions (คำบุพบท)
เช่น at, in, into, of, for ใช้เชื่อมกริยากับส่วนต่างๆ ของประโยค เพื่อบอกเวลา สถานที่ และทิศทาง ทำให้ประโยคสมบูรณ์
ตัวอย่าง:
7. Conjunctions (คำสันธาน)
เช่น and, but, or, nor, that, if, because ใช้เชื่อมคำหรือประโยค มีทั้ง conjunction แบบคล้อยตาม ขัดแย้ง และเป็นเหตุเป็นผล
ตัวอย่าง:
8. Interjections (คำอุทาน)
เช่น oh, alas, hurrah ใช้แสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ
ตัวอย่าง:
ในภาษาอังกฤษคำหนึ่งคำอาจจะเป็นได้มากกว่าหนึ่งชนิด
แต่เมื่อใช้ในบริบทหนึ่งๆ แล้ว คำๆ นั้นจะทำหน้าที่ได้แค่เพียงอย่างเดียว
เช่น อาจจะเป็น verb หรือ noun หรือ อาจเป็น adverb หรือ preposition ก็ได้ ตัวอย่างเช่น
สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.dicthai.com/dt_grammar_unit1_words.html
ชนิดของคำในภาษาอังกฤษมี 8 ชนิดด้วยกัน คือ
1. Nouns (คำนาม)
เช่น God, man, John, American, friend, star, stone, air, mile, beauty ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ แนวคิด นามธรรม และความเชื่อ
2. Pronouns (คำสรรพนาม)
เช่น I, you, he, she, my, your, his, that, who, what, which, one, some ใช้เรียกแทนคำนาม จะได้ไม่ต้องเอ่ยนามนั้นซ้ำอีก
ตัวอย่าง:
John works at the hospital. | He is a doctor. |
Kate is my friend. | I know her well. |
A book is on the desk. | The book which is on the desk is about history. |
The children are playing outside. | Some of them are crying. |
3. Adjectives (คำคุณศัพท์)
ใช้ขยาย noun กับ pronoun เพื่อบรรยายให้เห็นลักษณะของ noun กับ pronoun ชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งออกเป็น adjective สำหรับบอกลักษณะ บอกปริมาณ และบอกจำนวน
- Qualifier Adjectives หรือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกลักษณะ เช่น beautiful, healthy, kind, poor, fast, dry, black
ตัวอย่าง:
Noun
|
Adj. + Noun
|
Adj. + Adj. + Noun
|
An apple | A red apple | A crisp, red apple |
A girl | A tall girl | A beautiful, tall girl |
ตัวอย่าง:
Noun
|
Adj. + Noun
|
An apple | Many apples |
money | A little money |
ตัวอย่าง:
Noun
|
Adj. + Noun
|
A house | Two houses |
Floor | First floor |
4. Verbs (คำกริยา)
เช่น go, take, fight, speak, sleep, wait ใช้แสดงกริยาอาการต่างๆ เป็นส่วนสำคัญในภาคแสดงของประโยค นอกจากนี้ คำกริยายังแบ่งได้เป็น กริยาแท้ และกริยาไม่แท้
- Finite Verbs กริยาแท้หรือคำกริยาที่สามารถผันตามประธานและรูปกาลได้
- Non-finite Verbs (Verbals) กริยาไม่แท้ ไม่สามารถเปลี่ยนรูปได้
ตัวอย่าง: verb "be" มีกริยาในรูปต่างๆ ดังนี้
Finite Form | Am, is, are, was, were |
Non-finite Form | Infinitive = to be Present Participle = being Past Participle = been Gerund = being |
5. Adverbs (คำวิเศษณ์)
เช่น well, fast, long, gently, recently, again, yesterday, soon, rather, perhaps, not
ใช้ขยาย verb, adverb, adjective, preposition, conjunction, phrase, sentence เพื่อเพิ่มความหมายให้กับสิ่งที่ถูกขยาย
ตัวอย่าง:
ขยาย verb | He walks. | He walks fast. |
ขยาย adverb | The dog grows quickly. | The dog grows very quickly. |
ขยาย adjective | It is hot today. | It is surprisingly hot today. |
ขยาย preposition | My cat sits beside me. | My cat sits right beside me. |
ขยาย conjunction | She will come though it is late. | She will come even though it is late. |
ขยาย phrase | The hotel is on the top of the mountain. |
The hotel is nearly on the top of the mountain. |
ขยาย sentence | The bus leaves at 10 p.m. | However, the bus leaves at 10 p.m. |
เช่น at, in, into, of, for ใช้เชื่อมกริยากับส่วนต่างๆ ของประโยค เพื่อบอกเวลา สถานที่ และทิศทาง ทำให้ประโยคสมบูรณ์
ตัวอย่าง:
In | He is in the pool. |
On | There is a mark on your shirt. |
At | He always arrives late at school. |
Against | A woman is standing against the door. |
Up to | I sleep up to 8 hours a day. |
เช่น and, but, or, nor, that, if, because ใช้เชื่อมคำหรือประโยค มีทั้ง conjunction แบบคล้อยตาม ขัดแย้ง และเป็นเหตุเป็นผล
ตัวอย่าง:
And | Thais eat with a spoon and fork. |
But | BMW is beautiful but expensive. |
Or | Would you like coffee or tea? |
Neithe...nor | Neither I nor she speaks Spanish. |
Because | Tim passed the exam because he studied hard. |
เช่น oh, alas, hurrah ใช้แสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ
ตัวอย่าง:
Well | Well! That’s expensive. |
Oh | Oh! That’s great. |
Look: | Look at that. (Look = verb) Let me have a look at that. (look = noun) |
Walk: | He walked all the way here. (walked = verb) He is taking a walk. (walk = noun) |
In: | Is John in? (in = adverb) In the house. (In = preposition) |
Up: | He climbed up. (up = adverb) Climb up the wall. (up = preposition) |
After: | He looked before and after. (after = adverb) His dog trotted after him (after = preposition) After we had left... (After = conjunction) |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)